วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาระงานที่ 4 ส่วนที่ 3


วิวัฒนาการของสัตว์เลื้อยคลาน

สัตว์เลื้อยคลาน ( Reptilia) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง โดยคำว่า Reptilia มาจากคำว่า Repera ที่มีความหมายว่า "คลาน" เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่จัดเป็นสัตว์ในกลุ่มแรก ๆ ของโลกที่มีการดำรงชีวิตบนบกอย่างแท้จริง สัตว์เลื้อยคลานในยุคดึกดำบรรพ์ที่รอดชีวิตจากการสูญพันธุ์และยังดำรงชีวิตในปัจจุบัน มีจำนวนมากถึง 7,000 ชนิด กระจายอยู่ทั่วโลกทั้งชนิดอาศัยในแหล่งน้ำและบนบก จัดเป็นกลุ่มของสัตว์ที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายในการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์หินอุกกาบาตพุ่งชนโลกมามากกว่า 100 ล้านปีมาแล้ว
สัตว์เลื้อยคลาน มีการปรับสภาพร่างกายที่แตกต่างไปจากสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกหลายอย่าง ซึ่งทำให้สัตว์เลื้อยคลานนั้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งในทะเลทรายได้ แต่สำหรับสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกไม่สามารถดำรงชีวิตในทะเลทรายได้ เนื่องจากเวลาผสมพันธุ์ จะต้องอาศัยแหล่งน้ำเป็นตัวกลางในการผสมพันธุ์ ผิวหนังของสัตว์เลื้อยคลานมีความแห้ง หยาบกระด้างกว่าผิวหนังที่ลื่น และเป็นเมือกของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งจะช่วยป้องกันการระเหยของน้ำออกจากร่างกาย และช่วยป้องกันอันตรายให้แก่ผิวหนังรวมทั้งไม่มีต่อมเหงื่อและต่อมน้ำมันอยู่ใต้ชั้นของผิวหนัง ซึ่งช่วยทำให้ป้องกันการสูญเสียน้ำและการระเหยของน้ำได้เป็นอย่างดี

 

ในยุคจูแรคสิค (Jurassic period) ที่อยู่ในมหายุคมีโซโซอิค (Mesozoic era) ซึ่งมีอายุของยุคที่ยาวนานถึง 100 ล้านปี จัดเป็นยุคที่สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการจนถึงขีดสุด มีสัตว์เลื้อยคลานมากมายหลากหลายขนาด ตั้งแต่กิ้งก่าตัวเล็ก ๆ จนถึงไทรันโนซอรัส เร็กซ์ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนมากมายครอบครองพื้นที่ทั่วทุกแห่งในโลก ยุคจูแรคสิคจึงถือเป็นยุคของสัตว์เลื้อยคลานอย่างแท้จริง ต่อมาภายหลังเกิดเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลก ทำให้กลุ่มสัตว์บกที่อาศัยในยุคจูแรคสิค เกิดล้มตายและสูญพันธุ์อย่างกะทันหัน
การสูญพันธุ์และการปรับตัว
จากเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลกเมื่อ 100 ล้านปีมาแล้ว ทำให้สัตว์เลื้อยคลานในยุคจูแรคสิคเกิดการสูญพันธุ์อย่างกะทันหัน จำนวนที่เคยมีมากถึง 12 กลุ่ม ได้ลดจำนวนลงเหลืออยู่เพียง 4 กลุ่มเท่านั้น ซึ่งกลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ดีที่สุดคืองู และสัตว์เลื้อยคลานจำพวกลิซาร์ดได้แก่ จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งเหลน และเหี้ย รองลงมาเป็นจระเข้และแอลลิเกเตอร์ สำหรับสัตว์เลื้อยคลานกลุ่มที่ยังคงลักษณะทางกายภาพแบบโบราณ ที่ไม่มีการปรับตัวให้แตกต่างไปจากบรรพบุรุษคือเต่า และสัตว์เลื้อยคลานในกลุ่มสุดท้ายคือทัวทารา ซึ่งมีเพียงชนิดเดียวและสามารถพบเห็นได้ที่นิวซีแลนด์เพียงประเทศเดียวเท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ สัตว์เลื้อยคลานนั้นจะวางไข่บนพื้นดิน และมีการวิวัฒนาการให้มีการปฏิสนธิของตัวอ่อนภายในเปลือกไข่ ซึ่งเป็นการปรับตัวตามสภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีการดำรงชีวิตให้รอดพ้นจากแหล่งน้ำ นอกจากนี้ยังมีการวิวัฒนาการของเปลือกไข่ เพื่อช่วยให้ตัวอ่อนภายในไข่มีชีวิตรอดออกมาเป็นตัว เปลือกไข่ของสัตว์เลื้อยคลานทำให้สามารถวางไข่บนพื้นดินแห้งได้ เอมบริโอจะเจริญเติบโตและลอยตัวอยู่ในของเหลวภายใน ที่ทำหน้าที่ห่อหุ้มเยื่อหุ้มไข่ (Amnion) เอมบริโอจึงมีของเหลวล้อมรอบเช่นเดียวกับการวางไข่ในแหล่งน้ำ นอกจากนี้เอมบริโอยังมีถุงอาหารที่มีเยื่ออัลแลนทอยส์ (Allantois) ซึ่งเป็นเยื่อสำหรับการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเปลือกไข่ ที่เยื่ออัลแลนทอยส์ จะมีถุงสำหรับสะสมของเสียที่เกิดขึ้นในระหว่างการเจริญเติบโต จนเป็นตัวเต็มวัยก่อนออกจากเปลือกไข่ ซึ่งการที่สัตว์เลื้อยคลานสามารถวางไข่บนบกได้นั้น จึงเป็นผลของการวิวัฒนาการร่างกายที่ดีกว่าสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
ไฟล์:Heubach sand lizard.jpg

คำถาม....
 1. จากเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลกเมื่อ 100 ล้านปีมาแล้ว ทำให้สัตว์เลื้อยคลานในยุคใดเกิดการสูญพันธุ์อย่างกะทันหัน

2. ในยุคใด  จัดเป็นยุคที่สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการจนถึงขีดสุด ที่มีสัตว์เลื้อยคลานมากมาย

3.เพราะเหตุใด สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการของเปลือกไข่

ภาระงานที่ 3 ส่วนที่ 2

วิวัฒนาการของพืช      พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประวัติยาวนาน เริ่มตั้งแต่ในยุคพรีแคมเบรียน มีการพบซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน จนกระทั่งประมาณสี่ร้อยล้านปีที่ผ่านมา พืชบนโลกส่วนมากก็ยังคงเป็นสาหร่ายที่อยู่ในน้ำ แต่ในปัจจุบันจะพบซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายน้อยมาก ยกเว้นพวกที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อนและที่มีโครงร่างเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ต่อมาพืชวิวัฒนาการขึ้นมาอยู่บนบกและได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะทั้งภายนอกและภายในเพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมบนบก โดยมีการพัฒนาระบบเนื้อเยื่อลำเลียงและเนื้อไม้ให้มีความแข็งแรงเหมาะสมต่อการยังชีพบนบกได้
                                                             

ในช่วงมหายุคพาลีโอโซอิก(ประมาณ 430 ล้านปีก่อน) วิวัฒนาการของพืชมีการเปลี่ยนแปลงจากการที่อยู่ในน้ำทะเลและมหาสมุทรขึ้นมาอยู่บนบก ทำให้พืชได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะทั้งภายนอกและภายในเพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมบนบก พืชพวกนี้เป็นบรรพบุรุษของพืชที่มีเนื้อเยื่อลำเลียงในปัจจุบัน ลักษณะใหญ่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลง ได้แก่
1. มีระบบรากซึ่งนอกจากมีหน้าที่ในการดูดอาหารแล้วยังช่วยในการพยุงลำต้นอีกด้วย
2. มีระบบเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำและอาหาร
3. ผนังเซลล์ที่ผิวนอกมีสารคิวทินเคลือบอยู่เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ
เมื่อโลกมีบรรยากาศที่แห้งแล้งลงในช่วงเวลา 200 ล้านปีต่อมา พืชมีเนื้อเยื่อลำเลียงชั้นต่ำก็
สูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมากและมีวิวัฒนาการของพืชชนิดใหม่เกิดขึ้นในระหว่างยุคเพอร์เมียนของมหายุคพาลีโอโซอิก คือ พืชพวกจิมโนสเปิร์ม (Gymnosperm) หรือพืชเมล็ดเปลือย ซึ่งชอบอากาศเย็นและแห้งแล้ง พืชพวกนี้เกิดในตอนปลายของมหายุคพาลีโอโซอิก และมีความเจริญสูงสุดเกือบตลอดมหายุคมีโซโซอิก ส่วนในช่วงปลายของมหายุคมีโซโซอิก คือ ช่วงยุคครีเทเชียส เป็นระยะที่มีวิวัฒนาการเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกจึงมีพืชอีกพวกหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา คือ พวกแองจิโอสเปิร์ม (Angiosperm) หรือพืชดอก ซึ่งสามารถขึ้นได้ในสิ่งแวดล้อมเกือบทุกชนิด และมีการแพร่พันธุ์ที่มีประสิทธิภาพสูง จึงทำให้มีความหลากหลายพันธุ์และกระจายกว้างขวางที่สุด ปัจจุบันพืชมีดอกมีประมาณ 250,000 ชนิด นับว่ามีจำนวนชนิดมากที่สุดในอาณาจักรพืชทั้งหมด

คำถาม......
1.พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประวัติยาวนานเริ่มตั้งแต่ในยุคใด
2.วิวัฒนาการของพืชมีการเปลี่ยนแปลงจากการที่อยู่ในน้ำทะเลและมหาสมุทรขึ้นมาอยู่บนบก ในช่วงยุคใด
3.เพราะเหตุใดพืชมีเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะทั้งภายนอกและภายใน